What is the point of having Chiropractic, physical therapy in hospital, electrical muscle stimulation, taking muscle relaxant, cupping therapy or wearing knee/wrist support during the practice, when you practice Ashtanga or yoga regularly? I think you're just missing the point of yoga practice (mental and physical)? อะไรคือข้อดีของการจัดกระดูก กายภาพบำบัด คลายกล้ามเนื้อด้วยคลื่นไฟฟ้า ทานยาคลายกล้ามเนื้อ ทำคัพพิ้งหรือผ้าพันเข่าหรือข้อมือระหว่างการฝึกในเมื่อคุณเองก็ฝึกashtangaหรือโยคะผมคิดว่าคุณกำลังไม่เข้าใจจุดหลักของการฝึกโยคะ ทั้งทางด้านจิตใจและร่างกาย
Do you either think or are concerned about these? คุณคิดหรือใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ใหม Many teachers and students have those things what I mention above. Why? You should have illness before you come to practice yoga and let yoga give you the therapy. How can you explain to your family if you keep practicing yoga almost everyday but also keep going to hospital or clinic every week. That sounds weird. Or it becomes just normal for you? ทั้งครูและนักเรียนหลายๆท่านมีสิ่งเหล่านี้ที่ผมกล่าวมาด้านบน ทำใมละ คุณควรเจ็บป่วยก่อนมาฝึกโยคะและให้โยคะช่วยรักษามิใช่หรือ คุณจะอธิบายให้ครอบครัวฟังได้อย่างไร ถ้าคุณฝึกโยคะเกือบทุกวันแต่ก็ไปโรงพยาบาลหรือคลีนิกทุกอาทิตย์ ฟังดูประหลาดดี หรือว่ามันกลายมาเป็นสิ่งปกติสำหรับคุณไปแล้ว These pictures are my partner. He cracked his ankle by jumping from the stairs. After we went to the hospital. The doctor said he needed to wear a cast. So, we have chosen the aircast. That time he still kept practicing Mysore regularly by modification. He did the whole primary series actually. Amazingly his bone was completely cured only after a few weeks when the doctor said it will take at least three months. รูปพวกนี้คือรูปแฟนผม กระดูกข้อเท้าแตกจากการโดดลงบันได หลังจากเข้าโรงพยาบาล คุณหมอบอกว่าต้องใส่เฝือก และเราเลือกชนิดปรับได้ด้วยสูญญากาศ ตอนนั้นแฟนก็ยังฝึกmysoreประจำโดยการปรับให้เข้ากับสถานะร่างกาย จริงๆเขาก็ฝึกเต็มขั้นแรกเลย มหัศจรรย์ใจอย่างยิ่งที่กระดูกเขาสามารถสมานกันได้ดีจนหายขาด แค่ไม่กี่อาทิตย์ ทั้งที่คุณหมอบอกว่าจะใช้เวลาอย่างน้อยสามเดือน Last week I asked one student to take off his wrist support. He has wrist pain before came to practice with me. I observed him one week. I offered him not to jumping back & through. He is getting better and no pain but I told him to keep walking back & through. Some students don't know or misunderstand the points of yoga practice by consumption too much media about yoga. If there are options for the practice they love to choose the difficult one. Option is option. It means you can choose not doing it. เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมบอกให้นักเรียนแก้ผ้ารัดข้อมืออก เขาเจ็บข้อมือก่อนมาฝึกกับผม ก็สังเกตเขาอยู่หนึ่งอาทิตย์ เลยบอกไปว่าไม่ให้กระโดด เขาดีขึ้น ไม่เจ็บ แต่ผมก็ยังบอกให้เขาก้าวไปก้าวมาเอา นักเรียนบางท่านไม่รู้หรือเข้าใจผิดจุดประสงค์ของการฝึกโยคะ โดยสาเหตุจากการเสพพวกสื่อเกี่ยวกับโยคะมากไป ถ้ามีทางเลือกของการฝึก พวกเขารักที่จะเลือกอันที่ยากๆ ทางเลือกก็คือทางเลือกซิ มันหมายถึงว่าคุณสามารถที่จะเลือกไม่ทำมัน Example: ตัวอย่างเช่น -Prasarita Padottanasana C; your hands don't need to touch the floor, if you cannot. ท่าพาสาริตา ซี มือไม่จำเป็นต้องถึงพื้นหรอก ถ้าคุณไม่สามารถ -By sitting poses and Marichyasana C&D; you don't need to take your wrist, if you cannot or feel uncomfortable พวกท่านั่ง ท่าบิด ซีกับดี ไม่จำเป็นต้องจับข้อมือ ถ้าคุณจับไม่ได้หรือจับถึงแล้วไม่สบายในท่า -Bhuja Pidasana; you don't need to jump all the way back or beautifully, if you cannot but you use the right muscle and this muscle is not strong enough yet. ท่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องกระโดดหรือให้สวยงาม ถ้าคุณไม่สามารถ แต่คุณใช้กล้ามเนื้อให้ถูก และกล้ามเนื้อส่วนนี้อาจจะยังไม่แข็งแรงพอในเวลานั้น แต่อย่างน้องรู้จักใช้ -Supta Kurmasana: you don't need to have leg behind the head, if you cannot. I never sat up for taking legs behind my head by this pose. But I don't have any problem with hips. They are very flexible. I can do eka pada, Dwi pada and 3rd series comfortably. ท่านี้อีก ไม่จำเป็นเลยที่ขาต้องพาดคอ ถ้ายังไม่สามารถ ผมไม่เคยลุกมานั่งทำขาพาดคอหรอกน่ะครับในท่านี้ แต่ก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องสะโพก เป็นคนสะโพกเปิดมาก ผมก็ยังสามารถทำท่า เอกปาทา ดวิปาทา หรือขั้นสามได้แบบสบาย -Jumping back & through is not the main point of your practice. การกระโดดไปมาไม่ใช่ประเด็นหลักในการฝึกของคุณ All poses have an options in the Ashtanga tradition. Some students may feel that they are not Ashtangies (what is being Ashtangie actually?) if they cannot master difficulty. All is in your mind. There are students who love to choose pain to guarantee that they have ability. Teachers must remind them. What shall we do? If teachers also love the pain, then they both are going to have those thing what I mention above. I have heard that Chiropractic and cupping therapy become popular in Mysore, India. ทุกท่ามีทางเลือกในระบบของashtanga นักเรียนบางท่านอาจจะรู้สึกว่าไม่มีความเป็นAshtangiesพอ (จริงๆแล้วอะไรคือการเป็นAshtangieหรือ) ถ้าไม่สามารถผ่านการทำความยาก ทุกอย่างอยู่ที่คุณคิดไปเอง มีนักเรียนหลายท่านเลือกการบาดเจ็บเพื่อการันตีว่าพวกเขามีความสามารถ ครูต้องเตือนพวกเขา เราจะทำอย่างไร ถ้าครูก็รักที่จะเจ็บ งั้นทั้งสองก็ต้องไปทำสิ่งเหล่านั้นที่ผมเอยไว้ด้านบน ผมได้ยินมาว่าที่มัยซอ อินเดีย การจัดกระดูกและทำคัพพิ้งกำลังดังเชียวแหละ Some teachers and friends whom I know still keep going to have such therapy. It could happen in the future that we need sport medicine physician sit in the Shala during yoga practice. ครูและเพื่อนบางคนที่ผมรู้จักยังรับการรักษาแบบนั้นอยู่เลยไม่แน่น่ะครับในอนาคตเราอาจต้องการหมอทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาไปนั่งในชาลาระหว่างการฝึกโยคะ Students should adjust their practice according to their bodies not their bodies according to their wishful practice. นักเรียนควรปรับการฝึกให้เข้ากับร่างกายตัวเอง ไม่ใช่ไปปรับหรือดัดร่างกายให้เข้ากับการฝึกที่เต็มไปด้วยความอยากของตัวเอง Now I want you to choose; ผมอยากให้คุณเลือก Pain and then yoga or yoga and then pain. Hospital to shala or shala to hospital. It's your choice. เจ็บแล้วโยคะ หรือ โยคะแล้วเจ็บ โรงพยาบาลมาชาลา หรือชาลาแล้วไปโรงพยาบาล คุณเลือกเอา
9 Comments
|